e-government คืออะไร?
e-government หรือรัฐอิเล็กทรอนิกส์
ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการคือ
1.สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน
2.ทำให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
3.เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั่วกัน
4.มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม
e-government คือ
วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ
และปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน
และการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐมากขึ้น
โดยการใช้เทคโนโลยีจะนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพของการเข้าถึง และการให้บริการของรัฐ
โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่ม คือ ประชาชน
ภาคธุรกิจและข้าราชการเอง
ผลพลอยได้ที่สำคัญที่เราจะได้รับคือความโปร่งใสที่ดีขึ้นอันเนื่องมากจากการเปิดเผยข้อมูลที่หวังว่าจะนำไปสู่การลดคอรัปชั่น
หากเทียบกับ e-commerce แล้ว e-government คือ G-to-G1 Transaction และมีลักษณะเป็น intranet
มีระบบความปลอดภัย
เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ
ในขณะที่ e-services เทียบได้กับ B-to-G2 และ G-to-C3 Transaction ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการ
โดยภาคธุรกิจกับประชาชนคือผู้รับบริการ
e-government กับ e-services มีความเกี่ยวพันกันมาก
กล่าวได้ว่า e-government เป็นพื้นฐาน ของ e-services
เพราะการให้บริการของรัฐต่อประชาชนนั้น
มีความจำเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายภายในระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองที่มีความปลอดภัย
และทำให้องค์กรสามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้ การพัฒนาระบบสารสนเทศและการพัฒนาทักษะ
รวมทั้งองค์ความรู้ของหน่วยงานเป็นพื้นฐานสำคัญของการให้บริการของรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่คาบเกี่ยวกันหลายหน่วยงานแต่เป็น one-stop
service เป้าหมายปลายทางของ e-government ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อรัฐ
แต่หากผลประโยชน์สูงสุดของการเป็น e-government คือประชาชนและภาคธุรกิจ
e-government เป็นโอกาสที่จะขยายศักยภาพของการให้บริการแก่ประชาชน
ไม่เฉพาะภายในประเทศ
แต่รวมทั้งประชาชนที่อยู่ต่างประเทศด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงานของภาครัฐนั่นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง e-government เป็นการนำกลวิธีของ e-commerce
มาใช้ในการทำธุรกิจของภาครัฐ
เพื่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ ส่งผลให้เกิดการ
บริการแก่ประชาชนที่ดีขึ้น การดำเนินธุรกิจกับภาคเอกชนดีขึ้น
และทำให้มีการใช้ข้อมูลของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
ทำไมต้องเป็น e-government?
ปัจจัยภายในที่ทำให้หน่วยงานของรัฐต้องปรับเปลี่ยนเพื่อก้าวไปสู่
e-government ประการแรก คือ ข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ
และอัตรากำลัง แม้ว่าในเบื้องต้นการดำเนินการเพื่อก้าวไปสู่ e-government นั้นจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ แต่ในระยะยาวแล้ว แน่นอนว่าการทำให้เกิดการบริการต่างๆทางอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้ลดต้นทุนไปได้มาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานที่การให้บริการ การจัดพิมพ์แบบฟอร์มซึ่งจะกลายเป็น electronic
form ลดเจ้าหน้าที่ที่จะต้องมาให้บริการและมานั่งป้อนข้อมูล
นอกจากนี้ ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือการผลักดันในระดับนโยบาย
ทำให้หน่วยงานไม่สามารถอยู่นิ่งได้
ต้องปรับปรุงการทำงานและการบริการประชาชนให้สอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงาน
ตลอดจนนโยบายแห่งชาติ การมีแผนแม่บทไอทีก็เป็นแรงกระตุ้นหนึ่งที่ทำ
ให้หน่วยงานต้องทบทวนการดำเนินงานด้านไอทีเพื่อให้มีการใช้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น สำหรับปัจจัยภายนอกนั้นมาจากสภาวะของการแข่งขันระหว่างประเทศมีสูงมาก
การเปิดการค้าเสรี ทำให้ประเทศต้องเตรียมความพร้อมไว้ในหลายด้าน
รวมทั้งความพร้อมด้านการบริการของรัฐ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกกล่าวหาว่ามีการคอรัปชั่นสูง
และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต่างประเทศครั่นคร้ามต่อการมาลงทุนในประเทศไทยหรือต้องติดต่อกับส่วนราชการ
e-government จะทำให้มีความโปร่งใสมากขึ้น
เมื่อผนวกกับการบริการที่สะดวกรวดเร็ว เชื่อถือได้
จะเป็นแรงจูงใจสำหรับนักลงทุนและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้
เฉกเช่นประเทศใกล้บ้านอย่างสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติน้อยมาก
ดังนั้นจึงต้องปรับปรุงการให้บริการของภาครัฐให้เป็นสิ่งที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างเห็นได้ชัด
กล่าวโดยสรุป สาเหตุที่ทำให้ภาครัฐต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน
มีทั้งปัจจัยภายนอกที่รุมเร้าให้ภาครัฐต้องเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าจะเป็นภาวะของเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง
ผลกระทบที่เกิดจากจากการค้าเสรีระหว่างประเทศซึ่งทำให้ประเทศทั้งหลายต้องปรับกระบวนการทำงานกันใหม่โดยมีไอทีเป็นเครื่องมือพื้นฐานของการปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้
ปัจจัยภายในคือข้อจำกัดของหน่วยงานของรัฐทั้งด้านงบประมาณและกำลังคนของรัฐเอง
แม้ว่าจะมีความจำเป็นที่ในอนาคตประเทศไทยจะต้องก้าวไปสู่การเป็น e-government
แต่ก็มีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา เพื่อให้การพัฒนาไปสู่ e-government
ดำเนินอย่างสอดคล้องกับสภาพการณ์และข้อเท็จจริงของประเทศมากที่สุด
ประเด็นของ e-government
1. ประชาชน คือ
ลูกค้าสำคัญ
e-government คือการสร้างการบริการในรูปแบบใหม่ๆ
ที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วย ด้วยการนำเสนอบริการใหม่ๆ เหล่านั้น
จะทำให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ และตรงกับความต้องการของประชาชน
เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าซึ่งก็คือประชาชน และภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ คำว่า "ประชาชน" ควรมีความหมายครอบคลุมถึงผู้ด้อยโอกาสในสังคม
และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศด้วย e-government ไม่ควรทำให้เกิดปัญหาการเพิ่มช่องว่างระหว่างประชาชนในสังคม
การนำอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นสื่อสำคัญของการให้บริการของรัฐในอนาคตมาใช้
มีแนวโน้มว่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างผู้มีและเข้าถึงเทคโนโลยี "ได้เปรียบ" และ "มีโอกาส"
มากกว่าคนอีกกลุ่มซึ่งโอกาสและการเข้าถึงเทคโนโลยีน้อยกว่า
ตัวอย่างที่เห็นชัดเช่นภาคการเกษตร
ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่ได้รับข้อมูลข่าวสารล่าช้าที่สุด
แม้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะนำไอทีมาใช้เพื่อการให้บริการด้านข้อมูล อาทิเรื่อง Zoning
เพื่อให้เกษตรกรได้รับข่าวสารเกี่ยวกับดินที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช
นำระบบ GIS มาใช้เพื่อการวางแผนด้านเกษตรกรรม
แต่ก็ยังมีประเด็นปัญหาอีกหลายประการซึ่งยังต้องการการแก้ไขต่อไป นอกจากนี้
ภาคธุรกิจก็นับเป็นลูกค้าสำคัญของรัฐ
ซึ่งส่วนหนึ่งใช้บริการแง่ของการบริการด้านข้อมูล อีกส่วนคือการเป็นผู้ร่วมลงทุน
หรือให้บริการแทนรัฐ ในต่างประเทศการเป็น partnership กับภาคเอกชนเป็นเรื่องที่พบเห็นโดยทั่วไป
มีบริษัทที่ให้บริการแก่รัฐเพื่อสนับสนุนงาน
ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐหรือบางครั้งบริษัทเหล่านี้อาจให้บริการบางอย่างแก่ประชาชนเสียเองก็มี
การที่รัฐต้องเป็นพันธมิตรกับภาคเอกชน
เนื่องจากภาครัฐมีข้อจำกัดทั้งในแง่ของกำลังคน และแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ
ซึ่งคงต้องยอมรับว่าภาคเอกชนมีความก้าวหน้ากว่าภาครัฐมาก ดังนั้น
เบื้องหลังของการให้บริการบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์คือการบริการจากภาคเอกชนที่เป็นพันธมิตรเกือบทั้งสิ้น
โดยทั้งสองฝ่ายต่างต้องเอื้อประโยชน์ และทดแทนในส่วนที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มี ดังนั้น
การผลักดันและดำเนินการเพื่อให้เกิด e-government ต้องคำนึงว่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้น
ต้องกระจายในสังคมอย่างทั่วถึง ไม่ตกอยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนในสังคมได้ นอกจากนี้
ยังต้องคำนึงถึงผู้ด้อยโอกาสในสังคมด้วย
2. ข้อมูล
อาจจะกล่าวได้ว่าปัญหาของการไปสู่ e-government ทั่วโลกคือเรื่องการทำอย่างไรที่จะให้ข้อมูลของแต่ละหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนกันได้
แม้ว่าจะมีระบบที่แตกต่างกันก็ตาม ประเด็นนี้เป็นปัญหามาโดยตลอด
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องความไม่ update ของข้อมูลหรือความซ้ำซ้อนของข้อมูล
สาเหตุเพราะการพัฒนาระบบสารสนเทศของรัฐต่างคนต่างทำมาตั้งแต่ต้น
ทำให้เมื่อถึงจุดที่ต้องมาแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือใช้ข้อมูลร่วมกัน
ก็ทำให้เกิดปัญหาว่าทำได้ยาก หากจะให้เปลี่ยนระบบของหน่วยงาน ก็คงเป็นไปไม่ได้
หน่วยงานมักไม่ยอมเปลี่ยนระบบของตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงสิ่งที่ลงทุนมาใช้ไม่ได้
และคงต้องใช้งบประมาณอีกจำนวนมหาศาลในการปรับเปลี่ยนระบบ
นอกจากนี้หากปรับเปลี่ยนระบบใหม่
หน่วยงานต้องจัดหางบประมาณเพื่อฝึกอบรมบุคลากรให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นผู้ให้บริการได้
ดังนั้น แม้ว่าหน่วยงานของรัฐจะมีความต้องการใช้ข้อมูลของหน่วยงานอื่น
แต่ก็ไม่ต้องการเปลี่ยนระบบ ทางออกที่หน่วยงานรัฐเคยใช้คือการแปลงรหัสข้อมูลเพื่อให้สามารถใช้ได้
อย่างเช่นในกรณีข้อมูลของสำนักประมวลผลการทะเบียน กรมการปกครอง
ซึ่งใช้วิธีนี้กับหน่วยงานที่มาขอใช้ข้อมูลซึ่งก็ไม่สะดวกในทางปฏิบัตินัก
การศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดแนวทางเพื่อการแก้ปัญหาเหล่านี้ อาทิ
หน่วยงานในสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า Digital Government Research Center:
DGRC ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้ National Science
Foundation: NSF ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยมวัตถุประสงค์
เพื่อให้ทุนด้านงานวิจัยเกี่ยวกับไอที หรือการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยจากทั่วโลก
โดยมีเป้าหมายคือเพื่อปรับปรุงคุณภาพและขอบเขตของการให้บริการ online ของรัฐ
และประเด็นที่อยู่ในความสนใจคือการทำให้ระบบสารสนเทศที่แตกต่างกันของหน่วยงานรัฐสามารถ
ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีระหว่างภาครัฐ
ภาคเอกชนและมหาวิทยาลัย ด้วยการศึกษาวิจัยด้านไอที ทำให้ในปัจจุบัน
มีการพัฒนาภาษาที่เรียกว่า Extensive Markup Language หรือ XML
ขึ้นเพื่อให้เกิดมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
โดยที่หน่วยงานไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบไปด้วย XML ใช้ได้กับหน่วยงานที่มีระบบคอมพิวเตอร์ต่างกัน
หรือมีระบบผสม เช่นมีทั้งระบบ client/server application หรือเป็น
web-based system ก็สามารถใช้ XML ได้
ถึงกับมีผู้กล่าวว่า XML นี่แหละที่จะมาแทนระบบ EDI เนื่องจากไม่ยุ่งยากซับซ้อน ราคาถูกกว่า
และใช้ระยะเวลาการติดตั้งเพื่อนำมาใช้งานสั้นกว่าด้วย กระนั้น XML นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ หลายหน่วยงานในต่างประเทศได้นำมาใช้ในโครงการทดลอง
เพื่อประเมินผลของการใช้งานก่อนที่จะนำไปใช้จริง นอกจากนี้แม้ว่าหน่วยงาน อาจ download
XML ได้จากอินเทอร์เน็ต
แต่ก็อาจจะไม่มีซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการทำงานของ XML ซึ่งอาจทำให้ต้องเสียงบประมาณ
(ซึ่งไม่มากนัก) ในการจัดหามาเพิ่มเติม
สำหรับในประเทศไทย
ประเด็นเรื่องมาตรฐานของการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงในการอบรม CIO
เกือบทุกรุ่นก็ว่าได้
ซึ่งเป็นที่มาของการศึกษาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลของภาครัฐหรือที่เรียกว่า Government
Data Infrastructure (GDI) โดยการศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งคือการเสนอมาตรการในการบริหารจัดการการเชื่อมโยงของข้อมูล
4 ประเภทคือข้อมูลบุคคล นิติบุคคล สถานที่/ที่อยู่ และพิกัดทางภูมิศาสตร์ รวมทั้งการพัฒนาต้นแบบ (prototype) ของการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งภายใน และระหว่างหน่วยงานของรัฐ
โดยใช้เทคโนโลยีของ XML การศึกษาวิจัยนี้คาดว่าจะใช้เวลา 12
เดือน จึงจะแล้วเสร็จ
นอกจากเรื่องมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแล้ว
เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญของ e-government และ e-service เพราะการให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตนั้น
หากประชาชนขาดความไว้วางใจในความปลอดภัยของระบบแล้ว ประชาชนก็จะไม่ใช้บริการ
ซึ่งทำให้เกิดการสูญเปล่า หรือลงทุนไม่คุ้มค่าได้
ข้อมูลจากการสำรวจเกี่ยวกับการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ในอเมริกา พบว่า 62% ของประชาชน และ 82% ของภาคธุรกิจใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงบริการและข้อมูลของรัฐ
แต่ปัญหาสำคัญที่พบคือเรื่องของความไว้วางใจ พบว่ามีเพียง 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่ไม่รู้สึกกังวลในการให้ข้อมูลส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นอุปสรรคหนึ่งของ e-government ที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
3. โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
การดำเนินการเพื่อไปสู่ e-government นั้น
จำเป็นต้องจะต้องมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศทั่วประเทศ
โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศได้แก่โทรศัพท์ โทรศัพท์ทางไกล และเครือข่ายโทรคมนาคมที่จะเชื่อมโยงให้เกิดเครือข่ายของภาครัฐ
และทำให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นจริง
การมีโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่พร้อมเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะหากไม่ทั่วถึงจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนในสังคมและเป็นการสร้างโอกาสให้คนกลุ่มหนึ่ง
ขณะที่ลดโอกาสของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญในมาตรา 78 ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศนั้น ในปี พ.ศ.
2540 คณะรัฐมนตรีมีมติให้เนคเทครับผิดชอบดำเนินโครงการเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐเพื่อลดความซ้ำซ้อนและลดต้นทุนด้านเครือข่ายสารสนเทศของหน่วยราชการ
ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐสะดวกและมีมาตรฐานขึ้น
ซึ่งทำให้เกิดสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ หรือ สบทร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้บริการแก่ภาครัฐ 5 กลุ่มบริการ
คือ
1. บริการสื่อสารขั้นต้น หมายถึงบริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายสาร-สนเทศภาครัฐ หรือ GINet (Government Information Network) เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้
2. บริการเครือข่าย หมายถึงการให้บริการเสริมบนเครือข่าย เช่น e-mail
ที่มีความปลอดภัย (secure e-mail), FTP, Software และข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
3. บริการงานคอมพิวเตอร์แบบกระจาย
บริการให้ระบบเครือข่ายระหว่างหน่วยงานสามารถทำงานได้
โดยมีมาตรฐานของข้อมูลและการรับส่งเดียวกันและปลอดภัย
4. บริการงานประยุกต์และสารสนเทศหมายถึงบริการซอฟต์แวร์สำเร็จรูปและบริการที่ลดความซ้ำซ้อน
5. บริการส่งงานแก่ผู้ใช้ หมายถึงบริการเพื่อให้หน่วยงานใช้ไอทีเพื่อปรับปรุงการให้บริการแก่ประชาชน
เช่น การออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์
ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถทำธุรกรรมได้อย่างมั่นใจ แม้ว่าจะมีการจัดตั้งสบทร.
แต่สบทร.ก็ไม่ได้ดำเนินการในลักษณะบังคับว่าต้องให้หน่วยงานรัฐมาใช้บริการของสบทร.เท่านั้น หากแต่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของรัฐ ดังนั้น สบทร.จึงต้องให้บริการที่จูงใจและมีคุณภาพเพื่อให้เครือข่ายสารสนเทศของภาครัฐขยายขอบเขตของหน่วยงานรัฐที่มาใช้บริการ
จนกลายเป็นเครือข่ายของภาครัฐอย่างแท้จริง
4. วิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์แห่งชาติ
เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนกลยุทธ์เพื่อทำให้เกิด e-government
อย่างมีทิศทางและกรอบเวลาที่ชัดเจน ที่ผ่านมา
เราจะเห็นว่ามีหลายประเทศประกาศนโยบาย
หรือผู้นำออกมาแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการเป็น e-government ให้ประชาชนได้รับทราบ
การประกาศในลักษณะนี้เปรียบเสมือนคำสัญญาที่ภาครัฐให้แก่ประชาชนว่าจะผลักดันให้เกิดบริการอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาใด
และจะต้องปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ในขณะเดียวกัน
หน่วยงานรัฐจำเป็นที่จะต้องมีกรอบกลยุทธ์ เพื่อเป็นคู่มือ
ทำให้เห็นทิศทางและเป้าหมายของการ ก้าวไปสู่ e-government ร่วมกัน
สำหรับประเทศไทย การผลักดันในเรื่องของการบริการอิเล็กทรอนิกส์
การนำไอทีมาใช้เพื่อการบริหาร บริการ และการเชื่อมโยงระบบของหน่วยงานของรัฐ
ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แผนสภาพัฒน์ฯ ฉบับที่ 8 แผนไอทีแห่งชาติ
รวมทั้งแผนการปฏิรูประบบบริหารงานภาครัฐตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
รวมทั้งแผนแม่บทไอทีของแต่ละกระทรวง แต่ก็มีปัญหาในการรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและกำลังคนนั่นเอง
ดังนั้น หากถามว่าประเทศไทยเราจะก้าวไปสู่ e-government เมื่อไร บริการกี่เปอร์เซ็นต์ จะเป็นบริการทางอิเล็กทรอนิกส์
ประกอบด้วยบริการอะไรบ้าง แผนปฏิบัติการที่เป็นแผนร่วมของภาครัฐทั้งหมดเป็นอย่างไร
หรือวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ของไทยเป็นอย่างไร
แนวทางหนึ่งที่ชัดเจนซึ่งประธานคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติได้กล่าวถึงในงานสัปดาห์เทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐครั้งที่
1 และภาครัฐใช้กันอยู่คือ การก้าวไปสู่ "การบริหาร" และ "การบริการ"
ของรัฐแบบ 4 ท. หรือที่เรียกว่า
"ที่เดียว ทันใด ทั่วไทย ทุกเวลา" นั่นเอง
บทสรุป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นประเด็นสำคัญส่วนหนึ่งของการก้าวไปเป็น e-government
อย่างไรก็ตาม
ยังมีอีกประเด็นสำคัญอีกหลายประเด็นที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน อาทิเรื่องกฎหมาย
หรือการปรับกฎระเบียบที่ยังเป็นอุปสรรคของการเป็น e-government มีการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับไอที 6 ฉบับ
ซึ่งดำเนินการอยู่ รวมทั้งการปรับแก้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ
การปรับแก้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ นอกจากนี้ เรื่องของการพัฒนาและเตรียมความพร้อมความรู้ของข้าราชการและประชาชนในการติดต่อสื่อสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การวิจัยพัฒนาเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านต่างๆ
รวมทั้งด้านเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของหรือผู้ผลิตเทคโนโลยี
ก็นับเป็นประเด็นที่จะต้องดำเนินการต่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรมด้วย เหล่านี้
เป็นส่วนสำคัญที่จะสานฝันของภาครัฐไทยในก้าวไปสู่ e-government ให้เป็นจริง ซึ่งคงไม่ไกลเกินไปนัก ซึ่งผู้เขียนหวังว่าการเป็น e-government
จะดำเนินไปอย่างมีทิศทาง
และเหมาะสมกับประชาชนของประเทศของเรามากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น